นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยว่า วันนี้ (17 เมษายน 2563) ได้มีการประชุมร่วมกันนักวิชาการด้านต่าง ๆ ภาคเอกชน และ ผู้เกี่ยวข้อง ในการพิจารณาขอเสนอผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ หรือ ให้มีการผ่อนคลายกึ่งล็อกดาวน์ ตามคำแนะนำของผู้ประกอบการและผู้รับการบริการ ให้เปิดบางสถานที่ เช่น ร้านตัดผม จะต้องมีมาตรการสำหรับการประกอบการ เช่น เรื่องสถานที่ต้องเว้นระยะห่าง มีการกำหนดระยะเวลาใช้บริการ เช่น สระผม ไม่เกิน 2 ชั่วโมง งดบริการอุปกรณ์ร่วมกัน เช่น อุปกรณ์แต่งหน้า พนักงานต้องสวมหน้ากากอนามัย และทำความสะอาดอุปกรณ์
ขณะเดียวกันยังมีการเสนอพิจารณากำหนดรูปแบบการเปิดห้างสรรพสินค้า โดยจะต้องจัดคิวและนับจำนวนคนที่จะเข้าไปใช้บริการภายในห้างสรรพสินค้าเช่น กำหนดจำนวนคนเข้าห้าง 1,000 คน และ ทยอยเปิดร้านที่สำคัญและจำเป็นก่อน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ ส่วนร้านอาหาร ต้องไม่ให้คนเข้าไปพร้อมกัน ไม่มีโปรโมชั่น ไม่มีนาทีทอง เพื่อไม่ให้คนมาร่วมกลุ่มกันจำนวนมาก แต่ประชาชนจะต้องสวมหน้ากากอนามัย ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และ เว้นระยะห่างกัน 1 เมตร อีกทั้งสถานที่อื่น ๆ ที่ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้าก็จะต้องต่อคิวเว้นระยะห่าง หากทำได้รัฐบาลก็จะพิจารณาผ่อนคลายล็อกดาวน์ในการพิจารณาสัปดาห์หน้า
อย่างไรก็ตาม การพิจารณาจะแบ่งเป็น 3 กลุ่มจังหวัดตามสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อาทิ กลุ่ม 9+ จังหวัดที่ยังไม่พบผู้ติดเชื้อในรอบ 2 สัปดาห์ จะเริ่มทยอยเปิดช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ได้แก่ น่าน, กำแพงเพชร, พิจิตร, สิงห์บุรี, อ่างทอง, ชัยนาท, บึงกาฬ, ตราด, ระนอง, เพชรบูรณ์, แพร่, มหาสารคาม, สุโขทัย และอุทัยธานี
ส่วนกลุ่ม 50+ คือ จังหวัดที่มีผู้ป่วยประปรายในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จะเริ่มทยอยเปิด กลางเดือนพฤษภาคม และ กลุ่ม 7 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อในพื้นที่ต่อเนื่อง ได้แก่ กรุงเทพฯ, ชลบุรี, นนทบุรี, ปทุมธานี, ภูเก็ต, ยะลา, สมุทรปราการ จะเริ่มทยอยเปิดช่วงต้นเดือนมิถุนายน โดยมีเงื่อนไขลดระดับการแพร่เชื้อในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งต้องไม่มีการติดเชื้อในกลุ่มก้อน (Cluster) และสามารถติดตามที่มาได้ รวมถึงมี Reproduction Number ในรอบสัปดาห์ปัจจุบันเทียบกับสัปดาห์ที่แล้วไม่เกิน 1 เท่า
Comments
No related posts.